ที่ริมสระน้ำ (The pond) บทที่หนึ่ง

 



ที่ริมสระน้ำ (The pond)

บทที่หนึ่ง

    นกกางเขนสองตัวบินถาเหนือสระน้ำอย่างมีความสุข เงาของมันสะท้อนบนพื้นน้ำนิ่งสีขุ่นที่แต่งแต้มไปด้วยใบบัว บางกอออกดอกบานสะพรั่งสีชมพูบ้างเหลืองบ้าง เลยขึ้นไปเบื้องบน ท้องฟ้าหน้าร้อนสีฟ้าอ่อนใสประดับเมฆขาวปุยเล็กๆ ลอยคว้างอยู่ตรงนั้นทีตรงนี้ที

    ที่ริมสระน้ำ เด็กหญิงผมม้านอนราบอยู่บนพื้นหญ้าใกล้กอต้นกกสูงปริ่มน้ำที่พันเกี่ยวด้วยต้นผักบุ้งน้ำ ดอกสีชมพูอมม่วงของมันเบ่งบานรับแสงแดดยามบ่าย มือซ้ายของเด็กหญิงกำขวดยาพลาสติกใสขนาดย่อมที่ภายในบรรจุใบหญ้าคากับลูกตัํกแตนตัวจิ๋วสีเหมือนใบหญ้า มือขวาค่อยๆ เอื้อมออกไปยังแมลงปอปีกใสรูปร่างเหมือนเข็มเย็บผ้าสีฟ้าสวยที่เกาะพักอยู่บนก้านต้นกกตรงหน้า

    แม่เคยพูดเสมอว่าอย่าจับแมลงปอเล่น เพราะการสัมผัสของมือมนุษย์อาจจะทำให้ปีกของมันฉีกขาดได้ แต่เด็กหญิงอดใจไม่เคยได้เลยสักที เธอแก้ตัวให้กับตัวเองเสมอว่าจะระมัดระวัง แต่การจับแมลงปอไม่ใช่เรื่องง่าย ทันทีที่มือของเธอเอื้อมเกือบถึงตัว มันก็ขยับปีกโผบินขึ้นไปเกาะที่ปลายใบกกเหนือขึ้นไปจนเด็กหญิงต้องชักมือกลับ เธอถอนหายใจก่อนลุกขึ้นนั่ง ใช้ท่อนแขนปาดเหงื่อที่หน้าผาก

    "เธอสวยจังเลย ฉันอยากจะเป็นเพื่อนกะเธอนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรเธอซะหน่อย" เด็กหญิงพูดพึมพัมอย่างเป็นมิตร "ไม่จับก็ได้ แต่อย่าบินหนีไปสิ"

    แมลงปอเกาะนิ่งอยู่ที่เดิมราวกับกำลังฟัง

    "ฉันน่ะชื่อจอม แล้วเธอชื่ออะไรเหรอ ชื่อฟ้าใสหรือเปล่าล่ะ เพราะดีออก หรือว่าชื่อปีกบาง เพราะเธอสีฟ้าแล้วปีกก็บางด้วย"

    เธอเอื้อมมือหมายจับแมลงปอปีกบางอีก แต่มันบินหนีไปเกาะที่ดอกบัวตูมเลยออกไปในสระน้ำ เด็กหญิงถอนหายใจอย่างผิดหวัง และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงหมาเห่าไม่ไกลออกไปกับเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินสวบๆ มาตามทางเดิน

    "จอม...ม...ม" เสียงตะโกนเรียกชื่อของเธอ

    จอมมองทะลุผ่านกอหญ้าสูงริมน้ำ เธอเห็นเจมพี่ชายคนรองวัยสิบขวบกำลังเดินมาตามทางเดินอีกฟากหนึ่ง โดยมีสุนัขสองตัวติดตามมาด้วย เด็กชายสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณด้วยความมั่นใจว่าน้องสาวจะต้องอยู่ไม่ไกล

    แต่กลับเป็นสิงโตและปุยฝ้าย เจ้าหมาสองตัวนั่นต่างหากที่เป็นผู้ค้นพบเด็กหญิงที่กำลังนั่งชันเข่าซุ่มอยู่ มันตรงเข้ามาเลียหน้าเลียตาเธอ กระดิกหางไปมาด้วยความดีใจ

    "จอม...มาหลบอยู่ที่นี่เอง แม่ให้มาตาม บอกว่ามีเรื่องจะพูดด้วย" เจมพูดกับน้องสาวอย่างวางมาดในฐานะที่เป็นคนสนิทของแม่

    จอมถอนหายใจยาวก่อนลุกขึ้นยืน

    ครั้งสุดท้ายที่แม่เรียกเธอให้ไปหาก็คือตอนที่แม่ค้นพบที่ซ่อนยาเม็ดแก้ไข้หวัดที่เธอลอบเก็บไว้หลังจากแกล้งทำเป็นหย่อนเข้าปากกลืนลงคอไปอย่างแนบเนียน เธอจำได้ว่าทั้งรู้สึกงุนงงและสยดสยองขณะที่มองดูถ้วยพลาสติกเต็มไปด้วยเม็ดยาหลากสีในมือของแม่ และยอมรับโทษอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

    แม่พูดเสียงเครียดว่า "แม่น่ะทั้งเสียเงินเสียเวลาพาเธอไปหาหมอ ซื้อยาให้หายดันกลับมาหลอกกันซะได้ เด็กอะไรเหลวไหลที่สุด เอาล่ะ ยื่นมือมา"

    แม่ตีมือเธอสามทีด้วยไม้บรรทัด

    มันไม่เจ็บหรอกเพราะแม่ไม่ได้ตีด้วยความโมโห หากเป็นด้วยความผิดหวัง

    "คราวหลังอย่าทำอีกนะ" แม่กำชับ

    หนนี้จอมนึกไม่ออกว่าตัวเองไปทำอะไรผิดอีก แม่ถึงได้เรียกไปพบ เธอเก็บความกังวลสงสัยไว้ในใจแล้วทำเป็นใจดีสู้เสือ

    "แม่อยู่ที่ไหนล่ะ" เธอถามพี่ชายพลางปล่อยลูกตัํกแตนออกจากขวด

    "อยู่บนบ้าน" เขาตอบทื่อ ๆ ไม่ได้แสดงทีท่าว่าน้องสาวตกอยู่ในที่นั่งลำบาก จอมจึงทำเป็นไม่แยแส ออกเดินเอามือไขว้หลังเยาะย่างแบบม้าย่องออกไปอย่างร่าเริง


แม่อยู่บนบ้าน ซึ่งก็คือห้องชั้นบนที่ทุกคนใช้เป็นห้องนอน ห้องแต่งตัวและห้องดูโทรทัศน์ บนเตียงใหญ่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่บรรจุเสื้อผ้าของพ่อเปิดกางอยู่  ประตูตู้เสื้อผ้าที่มุมห้องก็เปิดกว้าง เห็นไม้แขวนเสื้อห้อยต่องแต่งอยู่บนราว ไม้แขวนเสื้อที่ครั้งหนึ่งเคยแขวนเสื้อผ้าของพ่อ
    "ไปอยู่ที่ไหนมา" แม่ถามหลังจากหันมาเห็นเด็กหญิง "แม่ตะโกนเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ ต้องส่งพี่เจมเค้าไปตาม แล้วเค้าไปตามตัวเราเจอที่ไหนล่ะ"
    จอมทำท่าขยุกขยิกเหมือนไม่อยากตอบ แต่ในที่สุดก็พึมพัมออกมา "ที่สระน้ำ" 
    "ที่สระน้ำค่ะ" แม่แก้ อ่อนใจที่จอมไม่เคยพูดคะขากับใครเขา "ที่สระน้ำตอนแดดเปรี้ยงๆ นี่น่ะหรือ ถึงว่าตัวเราถึงดำเป็นเหนี่ยงอย่างนี้ไง" แม่มองลูกสาวอย่างตำหนิติเตียน "ครีมทาตัวน่ะ ทาซะบ้าง หมวกก็หัดใส่ด้วย ผิวจะได้ไม่เสีย"
    แม่รู้ดีว่าพูดไปก็เท่านั้น จอมไม่สนใจคำเตือน เธอไม่สนใจว่าตัวจะขาวหรือดำ ขอแต่เพียงได้เล่นซนก็พอใจแล้ว 
    แม่ถอนหายใจแล้วบอกให้จอมนั่งลงบนเตียง ก่อนจะพูดไปพับเก็บเสื้อผ้าของสามีลงในกระเป๋าเดินทางไป "แม่เรียกเธอมาบอกเรื่องสำคัญ" แม่มองลูกสาว ตรวจดูปฏิกิริยาของจอมที่กำลังจ้องเธอด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ แล้วพูดต่อ "เรื่องโรงเรียนของเธอไงล่ะ  เธอก็รู้ว่าเธอจะขึ้นปอหนึ่งเทอมนี้ แล้วเธอก็ต้องไปเข้าโรงเรียนใหม่ เพราะที่เดิมเขามีถึงแค่อนุบาลสอง พ่อกับแม่อยากให้เธอเข้าโรงเรียนกับพี่ๆทั้งสอง เพราะมันมีรถโรงเรียนรับส่งสะดวก ปัญหามันมีอยู่ว่าโรงเรียนเขาเต็ม แม่ไปติดต่อเขาไว้แล้ว แต่ตอนที่พ่อตาย แม่มัวแต่ยุ่งเรื่องงานศพพ่อ เลยไม่มีเวลาไปตามเรื่องว่ามันไปถึงไหน พอไปอีกทีเขาก็บอกว่าชั้นปอหนึ่งน่ะไม่มีที่ว่างเสียแล้ว"
    เห็นคิ้วของเด็กหญิงขมวด แม่จึงรีบพูดต่อ "แต่เขาก็บอกว่าจะติดต่อกลับมาทันทีที่มีที่ว่าง เพราะบางทีเค้าก็มีเด็กนักเรียนลาออกไปกลางคัน ระหว่างนี้เธอก็อยู่บ้านไปก่อน"
    เด็กหญิงกำลังนึกถึงกล่องดินสอที่บรรจุดินสอกุดๆ ปากกาหมึกใกล้หมด ยางลบ ไม้บรรทัดเก่าๆ ที่เก็บสะสมมาตลอดปิดเทอมเพื่อที่จะได้ใช้ในวันเปิดเทอมใหม่
    "แล้วถ้าหากเค้าไม่ติดต่อมาล่ะแม่" เธอถามอย่างเป็นกังวล
    "ต้องติดต่อมาสิ" แม่พูดน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ ราวกับเป็นหลักประกันว่ามันจะต้องเป็นไปตามนั้น เด็กหญิงเคยชินกับความเฉียบขาดของแม่ ถ้าหากแม่ไม่กังวลเธอก็ไม่กังวลเหมือนกัน จอมไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วแม่กังวล ไม่เฉพาะเรื่องโรงเรียน แต่ยังเรื่องอื่นอีกหลายเรื่องที่แม่จะต้องรับภาระต่อไปแต่เพียงผู้เดียว
    "ระหว่างนี้ก็อยู่กับคุณย่าไปพลางๆ ก่อนนะ"
    คุณย่าอยู่ที่เรือนไม้ปลายสวนเลยสระน้ำออกไป เธอเป็นกุลสตรี เคยเป็นครูสอนวิชาการเรือนอยู่ในรั้วในวัง เรื่องงานฝีมือ เย็บปักถักร้อย ทำกับข้าวกับปลาเป็นที่เลื่องลือหาใครเทียบไม่ได้เลย แม่จึงแอบหวังว่าลูกสาวตัวดำๆ ท่าทางกระโดกกระเดกเป็นนางแก้วหน้าม้าของเธอจะได้รับการขัดเกลาให้เป็นกุลสตรีตัวน้อยๆ จากคุณย่าบ้าง
    เด็กหญิงหันไปให้ความสนใจกับเสื้อผ้าของพ่อที่แม่กำลังพับเก็บลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ อดสงสัยไม่ได้ว่าแม่จะเอามันไปทำอะไรกันแน่
    "บริจาคน่ะสิ" แม่ตอบ "ให้คนที่เขามีความต้องการ เสื้อผ้าพวกนี้น่ะเป็นของดีราคาแพงทั้งนั้น แต่เก็บไว้นานไม่ได้หรอก มันจะกรอบเหลืองหมด สู้เอาไปให้คนอื่นเขาใส่ซะดีกว่า แต่แม่จะเก็บเน็คไทพวกนี้ไว้ เผื่อเวลาพี่ชายของเธอโตแล้วจะได้เอาไปใส่" มือของแม่ลูบไปบนเสื้อเชิร์ตเนื้อดีที่พับเรียบร้อยของพ่ออย่างอาลัยอาวรณ์ จอมดีใจที่อย่างน้อยแม่เก็บเน็คไทของพ่อไว้ ไม่แต่เพียงเพราะว่ามันมีลวดลายสวยงาม แต่มันยังเป็นสิ่งเตือนให้เธอนึกถึงพ่อ
    "อีกอย่างนะจอม" แม่เงยหน้าจากกองเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทาง "แม่บอกพี่เจมให้เขาไปเอาหนังสือเรียนป.๑ เล่มเก่าๆ ออกมาจากห้องเก็บของแล้ว เธอจะได้เอามาอ่านทำความเข้าใจด้วยตัวเองไปพลางๆ ก่อน"
    ความคิดที่จะได้ลูบๆ คลำๆ หนังสือเรียนของชั้นเรียนใหม่ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นจนเกือบเหมือนได้ไปโรงเรียนกับเขาจริงๆ 
    "เวลา่ได้หนังสือมาแล้วก็อย่าไปทำหาย เพราะเดี๋ยวเวลาไปโรงเรียนเข้าจริงๆ ก็จะไม่มีหนังสือใช้" แม่เตือน "แล้วเวลาอยู่บ้านก็อย่าไปซุกซนวิ่งตากแดดตะลอนๆ รอบสระน้ำล่ะ ตกน้ำตกท่าตายไปไม่มีใครช่วยก็ไม่รู้ด้วย นี่เข้าใจที่แม่พูดมั้ยเนี่ย"
    เด็กหญิงพยักหน้าว่าเข้าใจ แต่จริงๆแล้วก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมจะวิ่งเล่นรอบสระน้ำไม่ได้ สำหรับจอมสระน้ำนั้นเป็นที่โปรดที่เธอโต๊เต๋อยู่ได้เป็นวันๆ โดยไม่รู้สึกเบื่อ และเธอก็ไม่เห็นว่าจะอันตรายตรงไหน
    สัปดาห์ก่อนโรงเรียนเปิดเทอม จอมเฝ้าดูพี่ชายและลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ เตรียมตัวไปโรงเรียนกันอย่างโกลาหลน่าสนุก เริ่มจากการปัดกวาดทำความสะอาดโต๊ะเขียนหนังสือ กำจัดหนังสือเก่าและเศษกระดาษไม่ใช้แล้วที่ยังค้างอยู่ในลิ้นชัก เช็ดถูลิ้นชักแล้วนำมาผึ่งแดดที่สนามหญ้าหน้าบ้าน
    เด็กหญิงมีส่วนร่วมกับกิจกรรมเหล่านั้นอย่างตื้นเต้นด้วยการเก็บไข่จิ้งจกจากลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือต่างๆ และสะสมเศษกระดาษจากสมุดทำการบ้านเล่มเก่าที่เธอจะเอามาใช้วาดตุ๊กตาหรือระบายสีก็ได้
    จนเมื่อวันปิดเทอมวันสุดท้ายก็มาถึง จอมนั่งดูพี่ชายทั้งสองห่อปกหนังสือเรียนและสมุดทำการบ้านด้วยกระดาษห่อพัสดุสีน้ำตาลที่แม่ซื้อมาจากศึกษาภัณฑ์อย่างเศร้าสร้อย เศร้าเสียจนบรรดาเศษกระดาษปึกใหญ่ที่สะสมไว้ก็ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น อีกทั้งไข่จิ้งจกที่เก็บไว้ในกล่องไม้ขีดไฟก็เหลือแต่เพียงเปลือกไข่แตกๆ เพราะลูกจิ้งจกฟักเป็นตัวแล้วก็พากันหนีหายกันไปคนละทางสองทาง
    ตกเย็นเด็กชายทั้งสองก็ขัดร้องเท้านักเรียนด้วยถุงเท้านักเรียนเก่าๆ กับครีมขัดเครื่องหนังจนขึ้นมัน แล้วยังขัดเข็มขัดหนังกับหัวเข็มขัดและกระเป๋านักเรียนด้วย
    คืนนั้นแม่ให้เด็กๆ เข้านอนทันทีที่นาฬิกาในห้องรับแขกตีบอกเวลาสองทุ่ม และตื่นทันทีที่นาฬิกาปลุกปลุกตอนตีห้าครึ่ง ไม่มีใครประท้วงหรือต่อรอง พี่ชายทั้งสองดูทั้งห่อเหี่ยวและเศร้าซึมราวกับวันโลกแตกได้มาถึงแล้ว
    แน่ละว่าการเข้านอนตอนสองทุ่มนั้นทำง่ายกว่าการตื่นตอนตีห้าครึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ ชินกับการนอนตื่นสายตอนช่วงปิดเทอม ไม่มีใครอยากตื่นเมื่อเสียงนาฬิกาไขลานส่งเสียงดังกริํง...ง...ง ทั้งๆ ที่บรรยากาศภายนอกยังคงมืดสลัว
    แม่ปล่อยให้จอมนอนต่อไปอย่างไม่มีกำหนด ไม่ต้องมีส่วนร่วมในความชุลมุนของการเตรียมตัวไปโรงเรียนในตอนเช้า ไม่ว่าจะเป็นการแย่งกันเข้าห้องน้ำ รีบแต่งตัว รีบทานข้าวเช้า แล้วรีบออกจากบ้านไปขึ้นรถโรงเรียน
    เมื่อพี่ๆ กับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ไปโรงเรียนและคุณลุงคุณป้าก็ออกไปทำงานกันหมดแล้ว ความโกลาหลก็จบลง และบ้านก็เงียบกริบจนเธอเกือบจะได้ยินเสียงมันทอดถอนหายใจอย่างโล่งอก 
    ขณะแต่งตัวเพื่อไปอยู่กับคุณย่าจอมรูัสึกตื่นเต้นว่าอย่างน้อยเธอก็มีที่ให้ไป มีอะไรให้ทำ ถึงจะไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นๆ
    เธอสวมเสื้อแขนจีบและกางเกงยีนส์ขาบานมีรูปหมากู๊ฟฟี่ปักที่ชายกางเกง สวมรองเท้าสานสำหรับใส่ไปเที่ยว มือถือกระเป๋าเอกสารลายดอกไม้บรรจุข้าวของส่วนตัวที่แม่เรียกว่า "สมบัติบ้า"
    เด็กหญิงรู้สึกว่าจะต้องแต่งตัวดีเป็นพิเศษเพราะจะไปอยู่กับคุณย่า เธอเดินตามแม่เลียบสระน้ำ ข้ามสะพานไม้ทอดไปยังบ้านคุณย่าโดยมีสิงโตกับปุยฝ้ายเดินเยาะ ลิ้นห้อยตามอยู่ไม่ห่าง
    เมื่อบ้านไม้หลังใหญ่มีระเบียงกว้างแขวนประดับด้วยกล้วยไม้หลายกระถางใกล้เข้ามา เธอก็รู้สึกขาแข็งหันกลับไปมองสระน้ำที่ภาพก้อนเมฆสะท้อนอยู่บนผิวน้ำมืดๆ แล้วเกิดความเสียดายไม่อยากไปอุดอู้อยู่ในบ้านเลย
    จากวันที่แม่เรียกเธอไปพบเพื่อนบอกเธอเรื่องโรงเรียนนั้น เธอไม่ได้ใส่ใจกับมันเท่าไรนัก ประเภทเข้าหูซ้ายและทะลุออกหูขวา
    แต่ภาพบ้านของคุณย่าที่ใกล้เข้ามาในตอนนี้ทำให้เธอไม่แน่ใจจเลยว่าอยากจะไปอยู่ที่นั้นทั้งวัน จอมไม่ได้สนิทกับคุณย่าเท่าไรนัก ก่อนพ่อเสียคุณย่าเคยเดินมานั่งดื่มกาแฟตอนเช้าที่สนามหน้าบ้านบ่อยๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันสุดสัปดาห์ แต่เธอไม่เคยมาอีกเลย
    ภาพปัจจุบันของคุณย่าที่เด็กหญิงคุ้นเคยคือภาพเธอนั่งเหม่อลอยที่ม้านั่งบนระเบียงบ้านในตอนเย็นๆ 
    "จอม"  แม่เรียก "มัวแต่เดินชักช้าอยู่ได้ เดี๋ยวแม่ก็ไปทำงานสายกันพอดี"
    แม่เดินน้ำหน้าไปไกลจนเกือบถึงเรือนกล้วยไม้ก่อนถึงบันไดขึ้นชานบ้านอยู่แล้ว ขนาดสิงโตกับปุยฝ้ายยังแซงหน้าเธอไปแล้วเลย
    "แม่...จอมไม่ไปไม่ได้เหรอ จอมคิดๆ ดูแล้วนะแม่ว่าจอมไม่อยากอยู่กะคุณย่าเลย"
    แม่ถอนหายใจ หน้าเครียด และริมฝีปากเหยียดตรงซึ่งเป็นสัญญานว่าจอมไม่ควรจะต่อรองอีกต่อไป เด็กหญิงจึงจำใจเร่งฝีเท้าขึ้น
    "จำไว้เชียวว่าอย่าทำตัวกระโดกกระเดกเป็นม้าดีดกะโหลกเวลาอยู่กับคุณย่า ระวังกิริยามารยาท พูดค๊ะขา และเวลารับของก็ต้องพูดขอบคุณทุกครั้งด้วย" แม่สอนเมื่อจอมเดินมาถึง เหมือนกับเป็นการสั่งลาทำให้จอมใจเสีย ได้แต่พยักหน้าเศร้าๆ แล้วทั้งคู่ก็เดินขึ้นบันไดไม้ทอดไปสู่ระเบียงบ้านกว้างมีม้านั่งทอดยาวไปตลอดความยาว
    สิงโตกับปุยฝ้ายรู้ดีว่ามันไม่ได้รับอนุญาติให้ขึ้นบันไดไปบนระเบียงบ้าน มันจึงเตร็ดเตร่ดมนั่นดมนี่อยู่ข้างล่าง


โปรดติดตามอ่านบทที่๒ นะคะ

    

    




Comments